
อีสุกอีใส (ปัจจุบันนิยมเรียกว่า ไข้สุกใส หรือ โรคสุกใส) เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก มีอัตราการป่วยสูงสุดในช่วงอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ในคนอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปก็อาจพบได้บ้าง ซึ่งมักจะเป็นคนที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน
โรคนี้สามารถระบาดแพร่กระจายได้ง่าย พบได้ตลอดทั้งปี มีอุบัติการณ์สูงในเดือนมกราคมถึงเมษายน อาจพบระบาดตามชุมชน โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก
สาเหตุ
เกิดจากเชื้ออีสุกอีใส-งูสวัด ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (varicella-zoster virus หรือ VZV) หรือ Human herpesvirus type 3
เชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้นหรือภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเจริญขึ้นใหม่ก่อให้เกิดโรคงูสวัด
เชื้อไวรัสชนิดนี้มีอยู่ในตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใสหรืองูสวัด ในน้ำลายและเสมหะของผู้ที่เป็นอีสุกอีใส
โรคนี้สามารถติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อจากตุ่มน้ำ น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย แล้วเชื้อปนเปื้อนเข้าทางเดินหายใจแบบเดียวกับไข้หวัด หรืออีกทางหนึ่งก็โดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองของน้ำลายหรือเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือออกมาแขวนลอยอยู่ในอากาศ (airborne transmission) แบบเดียวกับไข้หวัดใหญ่ ไม่ว่าจะติดต่อโดยทางใด เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางระบบทางเดินหายใจแล้วเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปทั่วร่างกาย รวมทั้งที่ผิวหนัง
ระยะฟักตัว 10-20 วัน (เฉลี่ย 14-17 วัน)
อาการ
เด็กจะมีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลียและเบื่ออาหารเล็กน้อย ในผู้ใหญ่มักมีไข้สูงและปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน
ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อม ๆ กันกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังจากมีไข้ เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นราบสีแดงขนาดเล็ก ๆ ก่อน 2-3 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูนและตุ่มน้ำใสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 มม. มีฐานสีแดงอยู่โดยรอบ ตุ่มใสมักมีอาการคัน ภายใน 24 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น ขนาดใหญ่ขึ้นและแตกง่าย แล้วจะฝ่อหายไปหรือกลายเป็นสะเก็ด สะเก็ดมักจะหลุดหายไปภายใน 7-10 วัน (บางรายอาจนาน 2-3 สัปดาห์) โดยไม่เป็นแผลเป็น นอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน อาจกลายเป็นตุ่มหนองและกลายเป็นแผลเป็น
ผื่นและตุ่มจะขึ้นตามลำตัว (หน้าอก แผ่นหลัง) ก่อน แล้วไปที่หน้า หนังศีรษะ และแขนขา มักพบตุ่มกระจายอยู่ตามบริเวณลำตัวมากกว่าบริเวณอื่น
ผื่นและตุ่มอันใหม่จะทยอยขึ้นเป็นระลอก ๆ ตามมาเป็นเวลา 3-6 วัน (ส่วนใหญ่ประมาณ 4-5 วัน) แล้วก็จะหยุดขึ้น ผื่นที่ขึ้นก่อนจะกลายเป็นตุ่มขุ่น (ตุ่มสุก) และตกสะเก็ดก่อนผื่นที่ขึ้นทีหลัง ดังนั้น มักจะพบว่าในบริเวณเดียวกันจะมีผื่นตุ่มทุกรูปแบบ ทั้งตุ่มสุกและตุ่มใส ชาวบ้านจึงเรียกว่า อีสุกอีใส
อาจมีผื่นตุ่มในลักษณะเดียวกันขึ้นตามเยื่อบุปาก (เช่น เพดานปาก ลิ้น คอหอย) ซึ่งแตกเป็นแผลตื้น ๆ ทำให้มีอาการเจ็บปาก เจ็บลิ้น เจ็บคอ บางรายอาจขึ้นที่เยื่อบุอื่น ๆ เช่น เยื่อบุตา กล่องเสียง หลอดลม ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด เป็นต้น
ในเด็กอาการมักจะไม่รุนแรง ไข้มักไม่สูง บางรายอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นตุ่มขึ้น ซึ่งในวันแรก ๆ อาจวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน หรือคิดว่าเป็นเริม ผื่นตุ่มในเด็กมักขึ้นไม่มาก และมักหายได้เองภายใน 7-10 วัน
ในผู้ใหญ่มักจะมีไข้สูง ปวดเมื่อย มีผื่นตุ่มขึ้นจำนวนมาก และมักจะหายได้ช้ากว่าเด็ก
บางรายอาจติดเชื้อไวรัสอีสุกอีใส โดยไม่มีอาการแสดงก็ได้ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน
ภาวะแทรกซ้อน
พบได้น้อยในเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เดิม แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง เอดส์ ปลูกถ่ายอวัยวะ ใช้ยารักษามะเร็งหรือสเตียรอยด์ เป็นต้น) จะมีภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยและรุนแรง
ที่พบได้บ่อย คือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเนื่องจากไม่ได้รักษาความสะอาดหรือใช้เล็บเกาจนกลายเป็นแผลพุพอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอักเสบ หรือไฟลามทุ่งซึ่งอาจทำให้เป็นแผลเป็นได้
ที่ร้ายแรง คือ ปอดอักเสบ มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มักเกิดจากไวรัสอีสุกอีใส บางรายอาจเกิดจากการติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสแทรกซ้อน อาการมักจะรุนแรงและมีอัตราตายสูง
อาจเกิดสมองอักเสบ ซึ่งพบได้ประมาณ 1 ใน 1,000 พบในเด็กบ่อยกว่าผู้ใหญ่ มีอัตราตายร้อยละ 5-30 นอกนั้นมักจะหายได้เป็นปกติ
ที่พบได้น้อยแต่รุนแรงอีกอย่างก็คือ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้มีเลือดออกในตุ่มน้ำใส หรือเลือดออกตามปากและจมูก มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
หญิงตั้งครรภ์ในระยะไตรมาสแรกหรือไตรมาสที่ 2 ถ้ามีการติดเชื้ออีสุกอีใส อาจทำให้ทารกน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อย หรือทารกพิการได้ เรียกว่า กลุ่มอาการอีสุกอีใสแต่กำเนิด (congenital varicella syndrome) เช่น มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ต้อกระจก ตาเล็ก ศีรษะเล็ก ปัญญาอ่อน เป็นต้น ความพิการในทารกพบได้ประมาณร้อยละ 0.5-6.5 (เฉลี่ยร้อยละ 2) ของทารกที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสในช่วงไตรมาสแรก
นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นอีสุกอีใสภายใน 5 วันก่อนคลอด หรือภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด ทารกที่เกิดมาอาจเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงซึ่งมีอัตราตายสูง
ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้แต่น้อยมาก เช่น โรคเรย์ซินโดรม ข้ออักเสบ ตับอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จอประสาทตาอักเสบ หน่วยไตอักเสบ อัณฑะอักเสบ เป็นต้น
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก
การตรวจร่างกาย ในวันแรก ๆ จะพบผื่นแดง ตุ่มนูน และตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก ๆ อยู่กระจายตามใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง ในวันหลัง ๆ จะพบผื่นและตุ่มหลายลักษณะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
อาจพบผื่นตุ่มที่หนังศีรษะ แผลเปื่อยที่เพดานปาก ลิ้น หรือคอหอย
ในเด็กอาจมีไข้ต่ำ ๆ (37.5-38.5 องศาเซลเซียส) หรือไม่มีไข้
ในผู้ใหญ่ มักพบว่ามีไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส)
ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัด แพทย์จะตรวจเลือด (ทำการทดสอบน้ำเหลือง) เพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ
การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้
1. แนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เช่น พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง อาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด ถ้าตุ่มคันให้ใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบหรืออาบน้ำเย็นบ่อย ๆ (ถ้าไม่ทำให้หนาวสั่น) และอยู่ในที่ที่อากาศเย็นสบาย อมน้ำหรือนมเย็น ๆ หรือไอศกรีม ถ้าเจ็บปากหรือปากเปื่อยลิ้นเปื่อยใช้น้ำเกลือเย็น ๆ กลั้วคอ กินอาหารเหลว หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด เปรี้ยว เคี้ยวยาก
ผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มที่คัน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียกลายเป็นแผลเป็นได้
2. ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้สูงให้พาราเซตามอล ถ้าคันมากให้ยาแก้แพ้ และทาคาลาไมน์โลชั่น
3. การให้ยาต้านไวรัส ไม่จำเป็นต้องให้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีและมีสุขภาพแข็งแรง แพทย์จะพิจารณาให้เฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือโรคผิวหนัง ได้แก่ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ หรือผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือสเตียรอยด์อยู่เป็นประจำ จะให้ยาต้านไวรัส (เช่น อะไซโคลเวียร์) นาน 5 วัน ซึ่งจะรีบให้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น เพื่อช่วยลดความรุนแรงและระยะของโรคลง
ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำร่วมด้วย แพทย์จะใช้ยาต้านไวรัสฉีดเข้าหลอดเลือดนาน 7-10 วัน
4. ถ้าตุ่มมีการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น เป็นแผลพุพอง) ให้ทาด้วยขี้ผึ้งที่มียาปฏิชีวนะ หรือเจนเชียนไวโอเลต ถ้าเป็นมากให้กินยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น)
5. ถ้ามีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หอบ ชัก ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว เลือดออก เป็นต้น แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาตามภาวะที่ตรวจพบ
6. ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เอดส์ มะเร็ง) แพทย์จะให้การดูแลรักษาตามความรุนแรงที่ตรวจพบ และเฝ้าสังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักจะหายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ หรือภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
การดูแลตนเอง
ถ้าสงสัย เช่น มีไข้ร่วมกับมีตุ่มสุกตุ่มใสขึ้นตามตัว ควรปรึกษาแพทย์ (ถ้าเป็นสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือสงสัยตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ)
เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นอีสุกอีใส ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้
- พักผ่อน ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ดื่มน้ำมาก ๆ
- ถ้าเจ็บในปากมาก ให้กินอาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก) นม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ ให้อมน้ำหรือนมเย็น ๆ หรือไอศกรีม เพื่อลดอาการเจ็บปาก
- ตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะเกาตุ่มที่คัน
- ใช้ยารักษาและรับการบำบัดรักษาตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการหอบ ชัก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เลือดออก เบื่ออาหาร หรือกินอาหารได้น้อย
- ตุ่มกลายเป็นหนอง หรือสงสัยผิวหนังมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
- หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
- มีความวิตกกังวล
การป้องกัน
1. โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส แนะนำให้ฉีดในเด็กช่วงอายุ 12-18 เดือน ส่วนเด็กที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้และไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน จะฉีดในช่วงอายุใดก็ได้
ส่วนผู้ใหญ่ แนะนำให้ฉีดเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก ครูอนุบาลหรือชั้นประถมศึกษา หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่วางแผนตั้งครรภ์ในอนาคต เป็นต้น ก่อนฉีดวัคซีนอาจต้องเจาะเลือดตรวจว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเคยก็ไม่ต้องฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนแนะนำให้ฉีด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่ออายุ 12-18 เดือน และอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุ 4-6 ปี (หากมีการระบาดของโรคนี้ อาจฉีดก่อนอายุ 4-6 ปีก็ได้ แต่ต้องห่างจากครั้งแรกอย่างน้อย 3 เดือน)
อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป หากไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ควรฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 4-8 สัปดาห์
วัคซีนนี้ห้ามฉีดในผู้ที่กำลังมีไข้สูง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกินยากดภูมิคุ้มกัน รวมทั้งยาสเตียรอยด์ (ในขนาดเพร็ดนิโซโลนตั้งแต่ 2 มก./กก./วัน นานตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป ควรให้หลังหยุดสเตียรอยด์อย่างน้อย 1 เดือน)
วัคซีนไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ได้รับวัคซีนควรคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 เดือน ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดกับทารกในครรภ์ แต่ถ้าหากบังเอิญได้รับวัคซีนขณะตั้งครรภ์ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเท่าที่ผ่านมายังไม่มีรายงานว่าทารกได้รับอันตรายจากการฉีดวัคซีนในมารดา
หลังได้วัคซีน ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพรินเป็นเวลา 6 สัปดาห์
2. ในช่วงที่มีการระบาด หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด
3. สำหรับผู้สัมผัสโรค ถ้าเป็นเด็กที่แข็งแรงเป็นปกติ มักไม่แนะนำให้ยาป้องกัน เพราะหากเป็นโรคจะไม่รุนแรงและไม่มีอันตราย ในรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน อาจแนะให้ฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส 1 ครั้ง แต่ต้องฉีดภายใน 3 วันหลังจากสัมผัสโรค อาจช่วยป้องกันโรคหรือลดความรุนแรงของโรคได้
ส่วนผู้สัมผัสโรคที่มีความเสี่ยง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น มะเร็ง เอดส์ เป็นต้น) ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ทารกที่คลอดจากแม่ที่เป็นโรคนี้ภายใน 5 วันก่อนคลอดหรือภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักตัวน้อยตั้งแต่ 1,000 กรัมลงไป ที่จำเป็นต้องอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาล แพทย์จะฉีดสารภูมิต้านทาน ได้แก่ varicella-zoster immune globulin (VZIG) ภายใน 96 ชั่วโมงหลังสัมผัสโรค หรือให้กินอะไซโคลเวียร์ (ขนาด 40-80 มก./กก./วัน นาน 7 วัน) ภายใน 7-9 วันหลังสัมผัสโรค หรือฉีดวัคซีน 1 ครั้ง ภายใน 3 วันหลังสัมผัสโรค วิธีการเหล่านี้อาจช่วยลดความรุนแรงของโรคถ้ามีการติดเชื้อในเวลาต่อมา
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และหายได้เอง โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไข้อาจมีอยู่เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่มจะตกสะเก็ดหลุดหายใน 7-10 วัน ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ อาจเป็นนานและมีความรุนแรงมากกว่าเด็ก
2. โรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิคุ้มกันไปจนตลอดชีวิต จะไม่เป็นซ้ำอีก (ยกเว้นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจกำเริบซ้ำ ๆ ได้) เมื่อตุ่มยุบหายแล้ว เชื้อมักหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และอาจมีโอกาสเป็นงูสวัดในภายหลังได้
3. ไม่ควรใช้ยาที่เข้าสเตียรอยด์ทั้งยากิน (เช่น ยาชุด) และยาทา เพราะอาจทำให้โรคลุกลามได้
4. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหากจนพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้น จนกระทั่งตุ่มทั้งหมดตกสะเก็ดแล้ว หรือประมาณ 6 วันหลังตุ่มขึ้น)
5. ไม่มีของแสลงสำหรับโรคนี้ ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ เพื่อให้มีภูมิต้านทานโรค
6. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว